เคล็ดลับสร้างโปรไฟล์ภายใน 1 เดือนก่อนเรียนจบ

การแข่งขันสูงขึ้นมากในการหางานทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักศึกษาจบใหม่ในยุคปัจจุบัน การมีวุฒิการศึกษาเพียงอย่างเดียวในกระบวนการหางานอาจจะไม่เพียงพอ

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมในขณะเป็นนักเรียนน้องจำควรทำให้ตัวเองโดดเด่นจากคนอื่นๆ

เหลือเวลาอีกเพียง 1 เดือนก่อนที่จะเรียนจบ จะมีวิธีใดที่จะดีไปกว่าการใช้เวลาที่เหลือด้วยการก้าวไปข้างหน้าในเกมการแข่งขัน

ในบทความนี้ เราจะนำน้องผ่านเคล็ดลับสู่การเริ่มต้นการทำกานที่มีประสิทธิภาพ 7 ข้อที่จะช่วยให้น้องมีความคิดริเริ่มที่สำคัญโดดเด่นจากหมู่เพื่อนๆของน้อง

7 เคล็ดลับการสมัครงานที่จะช่วยให้น้องโดดเด่น

1. สร้างบัญชี LinkedIn

ถึงตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักหรือเคยไม่เคยได้ยินชื่อ LinkedIn ซึ่งเป็นช่องทางมีประโยชน์มากสำหรับการสร้างเครือข่ายและโอกาสในการทำงาน LinkedIn ช่วยให้นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาสามารถสร้างเครือข่ายกับมืออาชีพและบริษัทมากมายที่กำลังมองหาคนไปทำงานด้วย

อย่างไรก็ตาม เพียงแค่มีบัญชี LinkedIn ก็คงไม่เพียงพอ น้องจะต้องสร้างโปรไฟล์ที่ดูเป็นมืออาชีพและปรับให้เหมาะสมกับสายงานนั้นๆ

นี่คือลำดับขั้นตอนเบื้องต้น:

• สร้าง URL ที่กำหนดเอง:

  ควรที่จะเป็นชื่อจริงของน้อง

• อัปโหลดรูปภาพ:

  ห้ามใช้รูปเซลฟี่นะ

• ระบุประสบการณ์การเรียนหรือการทำงานที่เกี่ยวข้อง:

  กรอกประวัติการศึกษาและการทำงาน (หากมี)

• กรอกส่วนโปรไฟล์เพิ่มเติม:ใบประกาศ:

  รางวัล, ภาษา, ทักษะที่มีและสิ่งที่น้องต้องการจะนำเสนอ

• แสดงตัวอย่างผลงาน:

  พอร์ตการออกแบบ โปรเจ็กต์ส่วนตัว การวิเคราะห์ และการตัดต่อวิดีโอ การทำเช่นนี้จะช่วยให้น้องมีโอกาสได้แสดงทักษะของตนเองต่อว่าที่นายหน้าของน้องได้

• เรื่อมสร้างเครือข่าย:

  เริ่มต้นด้วยอาจารย์ เพื่อนร่วมชั้น และเพื่อนร่วมงาน แล้วค่อยๆ ขยายไปสู่คนในสายงานที่สนใจและบริษัทในฝัน

2. สร้างใหม่ & อัปเดตเรซูเม่

ก่อนที่น้องจะออกจากมหาวิทยาลัยและเริ่มต้นการสมัครงาน ตรวจสอบให้แน่ใจเสมอว่าเรซูเม่ของน้องนั้นได้รับการอัปเดตแล้ว ทั้งข้อมูลประสบการณ์และทักษะล่าสุดที่น้องได้รับ นี่เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดที่น้องจะต้องมีในการหางานหลังจากจบการศึกษา

ทุกครั้งที่น้องได้รับชุดทักษะ ใบประกาศนียบัตร ประสบการณ์อาสาสมัครใหม่ๆ หรือเพียงเปลี่ยนเแปลงข้อมูลการติดต่อ นั่นคือสัญญาณแรกที่บ่งบอกว่าถึงเวลาที่น้องจะต้องอัปเดตโปรไฟล์แล้ว

การมีประวัติโดยย่อที่อัปเดตทำให้น้องอาจแตกต่างจากเพื่อนคนอื่ยๆ เนื่องจากนั่นแสดงให้เห็นว่าน้องใช้เวลาในการทำให้ตนเองมีความก้าวหน้าในอาชีพหรือเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับสายอาชีพที่ตนเองสนใจ

3. รวบรวมคำรับรอง & จดหมายแนะนำ

คำรับรองนักเรียนและจดหมายรับรองทำหน้าที่เป็นเครื่องบยืนยันหรือพิสูจน์ว่าน้องเป็นไปตามสิ่งที่น้องได้เขียนไว้ในเรซูเม่.

คำรับรองหรือจดหมายรับรองต่างๆนี้สามารถขอได้จากอาจารย์มหาวิทยาลัยของน้อง อดีตเพื่อนร่วมงาน หรือผู้จัดการ รวมถึงจากสถานที่ฝึกงานด้วย

อาจดูเหมือนเป็นน่าเกรงใจที่จะขอจดหมายแนะนำตัวในตอนแรก แต่เชื่อเถอะว่าพวกเขายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะรับรองทักษะของน้องด้วยคำพูดดีๆในจดหมาย

4. พัฒนาความรู้และทักษะด้านดิจิทัล

ไม่ว่าน้องจะสนใจอาชีพด้านเทคโนโลยีหรือIT การพัฒนาทักษะการรู้ด้านดิจิทัลจะทำให้น้องมีคุณสมบัติสำคัญที่ต้องการในโลกยุคปัจจุบัน

บริษัทที่ต้องการทักษะทางด้านดิจิทัลกำลังมองหาผู้ที่มีทักษะการเขียนโค้ดและการเขียนโปรแกรมขั้นพื้นฐาน การจัดการโซเชียลมีเดียและการจัดการโปรเจคไปจนถึงทักษะการวิเคราะห์ข้อมูล

สิ่งนี้จะเป็นการส่งข้อความไปยังนายหน้าและผู้จัดการการจ้างงานว่าน้องเป็นผู้ที่ไม่ต้องรับการฝึกอบรมเพิ่มเติมใหม่และเป็นผู้ที่มีทักษะที่จำเป็นสำหรับงานนี้แล้ว

5. เริ่มต้นสร้างเครือข่าย

น้องไม่ควรรอให้ตัวเองจบการศึกษาแล้วค่อยเริ่มสร้างคอนเนคชั่น นี่เป็นวิธีหนึ่งที่ดีที่สุดที่อาจจะทำให้น้องได้งานหลังจากสำเร็จการศึกษา

ด้วยวิธีนี้ อาจารย์ของน้องสามารถเชื่อมต่อน้องกับเพื่อนร่วมงานและคณาจารย์คนอื่นๆเพื่อโอกาสในการทำงานของตัวน้องเองในอนาคตได้

6. เขียนจดหมายสมัครงานเพิ่มความน่าสนใจ

แม้ว่าตำแหน่งงานบางตำแหน่งจะไม่จำเป็นต้องใช้จดหมายสมัครงานอีกต่อไป แต่การมีจดหมายสมัครงานจะทำให้น้องแตกต่างจากผู้สมัครคนอื่นๆ ที่สมัครงานเดียวกันอย่างแน่นอน

การมีจดหมายแนะนำตัวที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ตั้งใจพิมพ์เป็นอย่างดีเป็นวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการย้ำความสนใจของน้องกับบริษัทนั้นและจะทำให้น้องได้รับความสนใจจากผู็ว่าจ้างได้ง่ายขึ้น

คิดซะว่านี่เป็นโอกาสที่จะแสดงให้เห็นนายจ้างเห็นถึงทักษะของน้องว่ามีความสอดคล้องกับบทบาทของตำแหน่งงานนั้นอย่างไร น้องสามารถทำอะไรให้กับบริษัทได้บ้าง และเหตุผลที่พวกเขาควรจะจ้างงานน้อง

น้องต้องการความช่วยเหลือในการเริ่มต้นการเขียนจดหมายของน้องหรือไม่? นี่คือคำแนะนำทีละขั้นตอนเกี่ยวกับวิธีการเขียน

7. เรียนภาษาที่ 2

เปรียบเทียบพนักงานที่สามารถพูดได้ภาษาเดียงกับคนที่พูดได้ 2 ภาษา น้องคิดว่าใครเป็นผู้สมัครที่มีน่าสนใจมากกว่ากัน

การเรียนภาษาที่ 2 ไม่เพียงแต่ทำให้ตัวน้องเองเติบโตขึ้นแต่ยังรวมไปถึงอาชีพการงานของน้องด้วย

บางบริษัทมองหาผู้สมัครที่สามารถพูดได้หลายภาษาเพื่อช่วยให้สามารถสื่อสารกับลูกค้า คู่ค้า และผู้บริโภคชาวต่างชาติได้อย่างสม่ำเสมอ

ในกรณีอื่นๆ บริษัทระดับโลกอาจขอให้น้องย้ายไปทำงานในสำนักงานที่ต่างประเทศซึ่งเปิดโอกาสให้น้องได้ท่องเที่ยวและทำงานไปด้วย เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆที่พูดได้เพียงภาษาเดียวจะไม่ได้รับสิทธิพิเศษอย่างนี้