แคนาดาเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ทั้งผู้คน วัฒนธรรม ภาษา และอาหาร ซึ่งก็คงไม่มีที่ไหนจะเหมาะสำหรับการสัมผัสสิ่งเหล่านี้ไปมากกว่ามอนทรีออลอีกแล้ว เพราะที่นื่คือแหล่งศูนย์รวมเหล่านักเรียนจากต่างประเทศ
มอนทรีออลเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐที่พูดภาษาฝรั่งเศสเป็นหลักอย่าง Québec และในเมืองก็เต็มไปด้วยสถานที่ทางประวัติศาสตร์ นักเรียน และร้านอาหารอร่อยๆ มากมาย ที่นี่ผสมผสานสิ่งเก่าแก่และความทันสมัยเข้าด้วยกันในลักษณะที่ทั้งแปลกใหม่และไม่ตายตัว ถือได้ว่าเป็นเมืองที่มีกลิ่นอายของยุโรปในอเมริกาเหนือจริงๆ
✔️ โอกาสในการทำงานและเรียนไปด้วย ✔️ ค่าใช้จ่ายไม่แพง คุ้มแก่การลงทุน ✔️ เรียนจบ ทำงานต่อได้ ขอ PR ได้ ✔️ ประเทศที่มีความปลอดภัยสูง ✔️ ต้อนรับชาวต่างชาติ ผู้คนเป็นมิตร |
มอนทรีออลเป็นหนึ่งในเมืองที่มีคนพูดสองภาษาอยู่มากที่สุดในแคนาดา โดยจำนวนประชากรที่สามารถพูดได้ทั้งภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสมีอยู่กว่า 2 ใน 3
ดังนั้นการรู้ศัพท์ภาษาฝรั่งเศสไว้ล่วงหน้าก็ช่วยให้ชีวิตช่วงแรกๆ ง่ายขึ้นมาก
‘เท่าไหร่?’ (ใช้ทั้งสำหรับนามนับได้และนับไม่ได้)
เอาไว้พูดตอนกำลังตัดสินใจว่าจะซื้อ poutine (เฟรนช์ฟรายที่ทานกับซอสเกรวี่และเนื้อ) เท่าไหร่ดี
‘ฉันไม่เข้าใจ’
‘ฉันไม่รู้ภาษาฝรั่งเศส’
‘มหาวิทยาลัยอยู่ที่ไหน’
‘ช่วยพูดภาษาอังกฤษทีได้ไหม?’
ที่มอนทรีออล โดยเฉพาะในแถบดาวน์ทาวน์ คนส่วนใหญ่ที่น้องๆ เจอจะพูดภาษาอังกฤษได้ แต่พวกเขาก็จะยังรู้สึกชอบใจอยู่ดีถ้าเห็นน้องๆ พยายามพูดภาษาฝรั่งเศสบ้าง
‘ยินดีจริงๆ ที่ได้รู้จัก’
คำพูดสุภาพๆ ในภาษาฝรั่งเศส ใช้เวลาทักทายชาวมอนทรีออลที่น้องๆ พบปะในระหว่างไปเรียน
‘Have a great day!’
เป็นที่รู้กันว่ามอนทรีออลมีฤดูหนาวที่ทั้งยาวนานและหนาวเหน็บ
โดยระยะเวลาของฤดูหนาวจะเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเมษายน จึงเป็นไปได้มากว่าน้องๆ จะได้เจอกับฤดูนี้เวลามาเรียนที่นี่ น้องๆ จะต้องเผชิญกับหิมะ น้ำแข็ง อุณหภูมิหนาวจัด และวันหิมะตก (ซึ่งคลาสเรียนหรือการสอบก็จะถูกยกเลิกเพราะสภาพอากาศสุดวิสัย) มากในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
รู้อย่างนี้แล้ว ก็ไปดูเคล็ดลับจัดการกับปัญหาที่จะมาพร้อมกับหน้าหนาวของมอนทรีออลกันดีกว่า
ถ้ามีเครื่องแต่งกายที่เหมาะสม น้องๆ ก็จะสามารถผ่านช่วงหลายเดือนนี้และสัมผัสฤดูหนาวแคนาดาที่แท้จริงไปได้อย่างไม่มีปัญหา นอกเหนือจากเสื้อโค้ตอุ่นๆ (แบรนด์ที่ราคาไม่แพงมากเกินไปก็ได้แก่ The North Face, Columbia, และ Patagonia) ก็มีถุงมือ และ tocque (คำแสลงที่ใช้เรียกหมวกถัก) ที่จะขาดไปไม่ได้เลย
แวะไปที่ถนน Saint-Catherine ตรงดาวน์ทาวน์ (ที่เชื่อมจากถนน Bleury ไปยังถนน Guy) เพื่อซื้อเสื้อผ้าหน้าหนาวที่จำเป็นได้ทุกอย่าง ที่นี่จะมีทั้งร้าน North Face และ Columbia แล้วยังมี The Bay ห้างสรรพสินค้าสัญชาติแคนาดาที่เก่าแก่หลายศตววรษ
Underground City หรือที่เรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า RÉSO (ภาษาฝรั่งเศสของคำว่าเครือข่าย) คือย่านที่มีร้านค้า ออฟฟิศ โรงแรม ห้องประชุม และที่อยู่อาศัยอยู่รวมกันเป็นเครือข่ายใจกลางดาวน์ทาวน์ของมอนทรีออล
เครือข่ายนี้เชื่อมต่อไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน และยังมีเครื่องทำความร้อนสำหรับช่วงฤดูหนาว เรียกได้ว่าเป็นเหมาะจะเป็นที่ไว้หลบอากาศหนาวอุณหภูมิติดลบด้านบน แล้วยังสามารถเดินทางไปยังที่อื่นๆ ในดาวน์ทาวน์ได้อย่างสะดวกสบายอีกด้วย
พื้นที่ส่วนหนึ่งของมอนทรีออล โดยเฉพาะแถววิทยาเขตของ McGill University มีลักษณะเป็นเนิน และเมื่อถึงฤดูหนาวที่พื้นมีน้ำแข็งจับตัว ICEtrekkers ก็จะเป็นตัวช่วยสำคัญให้กับน้องๆ อุปกรณ์เฉพาะฤดูหนาวชิ้นนี้จะใช้ติดที่รองเท้าบู้ต แล้วช่วยเพิ่มแรงเสียดทาน ป้องการการลื่นเวลาเดินบนพื้นที่มีน้ำแข็ง
ถึงฤดูหนาวในมอนทรีออลจะยาวนาน แต่ก็มองได้อีกมุมว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ถ่ายภาพวิวทิวทัศน์สวยๆ อย่าปล่อยให้ฤดูนี้ทำให้ต้องอุดอู้แต่ในห้อง ออกไปข้างนอกแล้วถ่ายรูปงามๆ ตุนไว้ จะได้เอาไปอวดให้เพื่อนๆ และครอบครัวดูด้วย
ถ้าอยากทำให้ฤดูหนาวแย่น้อยลงอีกนิด ก็ลองแวะไปที่คาเฟ่ซักร้านในบรรดาคาเฟ่จำนวนมากมายในมอนทริออล แล้วสั่งช็อคโกแลตร้อนมาทานกับขนมอบอร่อยๆ ให้ร่างกายอุ่น ร้านที่นิยมกันในหมู่นักเรียนก็ได้แก่ Milton B, MELK Bar à Café และ Dispatch Coffee (ที่มีสาขาอยู่ทั่วเมือง)
ในฐานะนักเรียน แน่นอนว่าน้องๆ จะต้องรู้แหล่งร้านอาหารที่ดีที่สุดในมอนทรีออลแน่นอน
และหลังจากที่ได้ลองอาหารท้องถิ่นก็คงจะรู้แล้วว่าทำไมมอนทรีออลถึงได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีอาหารยอดเยี่ยมที่สุดในแคนาดา
ถ้าคิดจะลองเมนูขึ้นชื่อของมอนทรีออลอย่าง ‘แซนด์วิชเนื้อรมควัน’ แล้วล่ะก็ ต้องไปที่ร้านประวัติศาสตร์ร้านนี้เลย ตั้งแต่เปิดร้านครั้งแรกเมื่อกว่า 90 ปีก่อน ร้าน Schwartz’s ก็ยังคงเสิร์ฟอาหารที่เป็นสัญลักษณ์ของผู้อพยพชาวยิวที่ถนน St. Laurent Blvd. มาจนถึงทุกวันนี้
เตรียมตัวเตรียมใจเข้าแถวไปด้วยล่ะ แต่รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน!
ร้านตั้งอยู่ระหว่าง McGill University และ Concordia University ที่นี่เป็นทั้งร้านอาหารและบาร์ที่นิยมกันมากในหมู่นักเรียน เพราะเมนูอาหารทุกอย่างราคาเพียง $5 เท่านั้น ร้าน Le Warehouse จึงทั้งเป็นร้านราคาย่อมเยา มีบรรยากาศสบายๆ และเป็นสถานที่สำหรับเหล่านักเรียนที่มีงบไม่มาก
สองร้านนี้มีชื่อเสียงเรื่องเบเกิลสไตล์มอนทรีออลที่อบด้วยไฟจากถ่าน ที่มอนทรีออลมีเรื่องโต้เถียงกันมานานมากแล้วว่าร้านไหนอบเบเกิลร้อนๆ สดจากเตาออกมาได้อร่อยกว่ากัน ระหว่าง St. Viateur กับ Fairmount
เพื่อความยุติธรรมก็ควรไปลองทั้งสองร้าน และไม่ว่าร้านไหนจะอร่อยกว่า น้องๆ ก็จะไม่ผิดหวังกับรสชาติอย่างแน่นอน
ข้อแนะนำเพิ่มเติม: ควรรีบไปซื้อแต่เช้าก่อนจะที่ร้านขายหมด
กำลังหิวมื้อดึกอยู่ใช่มั้ย? ร้านสุดเก๋ร้านนี้มี poutine (หนึ่งในบรรดาเมนูดังประจำ Quebec) หลากหลายสไตล์ขาย เมนูอันประกอบไปด้วยเฟรนช์ฟราย (หรือ frites ในภาษาฝรั่งเศส) ชีสนม และเกรวี่เมนูนี้คือเมนูคลาสสิคของมอนทรีออลเลยละ
ไปที่สาขาไหนของ Frite Alors ก็ได้ แล้วลองสั่ง poutine ในแบบที่ตัวเองอยากลองมาชิมดู (มีบางเมนูที่ใส่ท็อปปิ้งเป็นเนื้อรมควันมอนทรีออลด้วยนะ)
หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า ‘The Big Orange’ ร้านที่ตั้งโดดเด่นอยู่ริมถนนแห่งนี้เป็นทั้งร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด และก็เป็นผลส้มลูกใหญ่ยักษ์อันเป็นที่จดจำที่ขายทั้งฮอทด็อก แฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟราย และ (ที่ขาดไม่ได้เลย) น้ำส้มคั้น น้องๆ สามารถเดินทางไปที่ร้านนี้ได้โดยรถไฟฟ้าใต้ดิน ลงที่สถานี Namur
ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก McGill University (มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่สุดในแคนาดาและมีประธานาธิบดีแคนาดาคนปัจจุบันเป็นศิษย์เก่า) ร้าน Juliette et Chocolat เป็นร้านคาเฟ่เล็กๆ น่ารักที่ขายเครปและของหวานแสนอร่อย
ที่นี่เป็นร้านเหมาะสำหรับมาทานมื้อสายในวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือสำหรับมาทานช็อตโกแล็ตเค้กกับกาแฟเป็นรางวัลให้ตัวเองในช่วงสอบ
ถ้าอยากได้สถานบันเทิงที่ดีที่สุดในมอนทรีออล ก็ต้องไปที่ St. Laurent Blvd. ถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยคลับ บาร์ ผับ และร้านอื่นๆ ตามแต่ที่ชอบ ตามประวัติศาสตร์แล้วที่นี่เป็นเสมือนชายแดนแบ่งแยกชุมชนที่พูดภาษาอังกฤษ (Anglophone) ไว้ที่ฝั่งตะวันตก และชุมชนพูดภาษาฝรั่งเศส (Francophone) ที่ฝั่งตะวันออก
ร้านนี้เป็นแหล่งสำหรับทั้งเครื่องดื่ม อาหารบาร์ และขนมจุกจิกมื้อดึก ด้านในตกแต่งแบบวินเทจ ทำให้ได้บรรยากาศที่ทั้งสนุกสนานและสบายๆ เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับมากับเพื่อนๆ หลังเลิกเรียน
คลับใต้ดินที่มีทั้งดนตรีสด dance floor และลานสเก็ตบอร์ดในร่มขนาดเล็กให้มาลองทดสอบความสามารถของตัวเองกัน ที่นี่เหมาะมากสำหรับคนที่อยากมาเต้นปลดปล่อยตอนดึกๆ โดยบาร์ส่วนใหญ่ในมอนทรีออลจะเปิดถึงหกโมงเช้า
ร้านที่มีบาร์ โต๊ะพูล และตู้เกม arcade สมัยก่อน ที่จะกลายเป็นไนต์คลับในตอนดึกๆ
ถ้าใครกำลังหาโอกาสจะไปย่านอื่นนอกเหนือจากที่ถนน St. Laurent Blvd. ก็ควรจะลองแวะไปที่ร้านนี้ ทำเลอยู่ที่บริเวณถนน Saint-Catherine ที่นี่เป็นร้านอาหารชั้นยอดที่มีอาหารเอเชียแบบฟิวชั่นขาย แล้วก็เป็นไนต์คลับที่ตกแต่งด้วยธีม tropical ไปด้วยพร้อมๆ กัน ภายในตกแต่งด้วยต้นไม้สวยๆ มากมาย
ตามชื่อ ร้าน Café Campus แห่งนี้เป็นสถานที่ฮิตของนักเรียนในย่านนั้น ไนต์คลับแห่งนี้มีหลายชั้นที่มีทั้งบาร์ ดนตรีสด และพื้นที่สำหรับเต้น
แต่ละวันก็จะมีธีมที่แตกต่างกันไป เช่น วันอังคารเรโทร (Retro Tuesday) ก็จะมีดนตรีจากยุด 60s 70s และ 80s ในขณะที่วันพฤหัสจะเล่นเพลงในช่วงยุค 2000s
ที่นี่เมืองที่ผสมผสานกันระหว่างสิ่งเก่าและสิ่งใหม่ได้อย่างน่าสนใจ มอนทรีออลรับสิ่งที่ตกทอดจากประวัติศาสตร์มาอย่างยินดี และในขณะเดียวกันก็เปิดกว้างพร้อมรับอนาคต ดังนั้นเมืองแห่งนี้จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการเที่ยวสำรวจไปกับเพื่อนๆ แล้วก็ผูกมิตรสร้างเพื่อนใหม่ไปด้วยพร้อมกัน
ย่านอายุน้อย ทันสมัย และเต็มไปด้วยนักเรียน คู่รัก และครอบครัวอายุน้อย เป็นที่รู้กันด้านบรรยากาศความอาร์ต ร้านอาหารและคาเฟ่สำหรับนั่งชิว และทาวน์เฮ้าส์แปลกๆ ที่มีบันไดเวียนในบ้าน
โดยเฉพาะถ้าน้องๆ อยู่ที่นี่ในช่วงเปิดภาคเรียน ก็จะเห็นนักเรียนคนอื่นๆ อยู่ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นตอนอยู่ในคาเฟ่ บาร์ หรือกำลังเดินสำรวจรอบๆ บริเวณก็ตาม
ย่านนี้มีอายุเก่าแก่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17 และถนนแคบๆ ที่ปูด้วยหินกรวดอันเป็นเอกลักษณ์ ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ St. Lawrence ย่านนี้ก็ยิ่งดูคล้ายปารีสมาก
บรรดานักเรียนมักมากันที่นี่เพื่อพักผ่อน พบปะผู้คน และกระทั่งอ่านหนังสือเรียน แถวนี้มีร้านคาเฟ่ชื่อ Crew and Collective ที่ดูคล้ายสถานี Grand Central Station ที่นิวยอร์ก และมีเมนูแซนด์วิช ซุป และขนมอบที่อร่อยสุดๆ
ถ้าอยากเห็นทัศนียภาพมุมกว้างของเมืองที่สวยจนต้องลืมหายใจ ก็ไปทริปเดินเขาที่เหนื่อยแต่คุ้ม ขึ้นภูเขา Roya กัน น้องๆ สามารถมาที่นี่ได้ด้วยการเดินขึ้นเหนือมาตามถนน Peel Street ขอบอกเลยว่าถ้ามาที่นี่แล้ว ก็จะได้เพื่อนใหม่ที่ชื่นชอบธรรมชาติกลางแจ้งเหมือนกับน้องๆ กลับไปอย่างแน่นอน
เคล็ดลับ: ควรมาทริปนี้ก่อนจะเข้าฤดูหนาว
ฤดูหนาวที่หนาวสุดๆ ของมอนทรีออลก็ขัดขวาง Igloofest ไม่ได้ เทศกาลดนตรีที่ทันสมัยที่สุดงานนี้จัดขึ้นปีละครั้งที่เขต Old Port ในเดือนมกราคม เหล่าคนที่ไปร่วมเทศกาล (ส่วนใหญ่เป็นนักเรียน) ก็จะแต่งตัวกันมาในชุดเสื้อผ้าหน้าหนาวที่ดูเรโทรที่สุด
แต่ถ้าใครไม่ชอบอากาศหนาว ก็มีอีกเทศกาลในเดือนสิงหาคมชื่อ Osheaga ที่จัด 6 เวทีขึ้นที่ Parc Jean-Drapeau ที่เกาะ Saint Helen’s
สองมหาวิทยาลัยหลักที่ใช้ภาษาอังกฤษในมอนทรีออลมีตัวช่วยดีๆ มากมายสำหรับนักเรียนต่างชาติ ตัวอย่างเช่น Concordia International Students Association (CISA) และ the International Students Services (ISS) ที่ McGill University
กลุ่มเหล่านี้จะจัดงานกิจกรรม ช่วยเชื่อมโยงน้องๆ เข้ากับนักเรียนต่างชาติคนอื่นๆ และทำหน้าที่เป็นกองหนุนคอยสนับสนุนที่ดีที่สุดสำหรับน้องๆ นักเรียนต่างชาติคนอื่นๆ เองก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน แล้วก็น่าจะอยากหาเพื่อนใหม่มากไม่แพ้กันเลย เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องลังเลที่จะใช้บริการเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์
เมืองที่คึกคักพลุกพล่านอย่างมอนทรีออลก็จะมองหาอาสามารถมาช่วยจัดงานและกิจกรรมต่างๆ อยู่เสมอ
ถึงแม้น้องๆ ที่เป็นนักเรียนและยุ่งเรื่องการเรียนอยู่เสมอ แต่อย่างน้อยก็ควรออกไปนอกเมืองแล้วไปทำงานอาสาเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองสนใจดูบ้าง
ที่หน้าเว็บไซต์อาสาสมัครของเมืองจะมีรายชื่อกิจกรรมต่างๆ ที่กำลังจัดอยู่ และกะที่กำลังขาดคน
ถ้าอยากหาอะไรที่มั่นใจได้ว่าจะเจอคนในช่วงวัยเดียวกัน น้องๆ ก็อาจจะไปดูโปรแกรมมุ่งให้ความช่วยเหลือ (outreach program) ที่จัดโดยกลุ่มนักเรียน ที่จะช่วยให้น้องๆ ไปเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนักเรียนที่กำลังทำอาสาสมัครต่างๆ ในเมือง กิจกรรมเหล่านี้จะมีจัดทั้งในบริเวณวิทยาเขตของมหาวิทยาลัย และในที่อื่นๆ ทั่วทั้งเมือง
✔ เป็นตัวแทนสถาบันการศึกษาในแคนาดามากที่สุดในประเทศไทย มากกว่า 100 แห่ง
✔ แนะแนวคอร์สเรียนตั้งแต่ระดับ คอร์สภาษา วิชาชีพ ตลอดจนมหาวิทยาลัย และข้อมูลทุนการศึกษาต่างๆ
✔ ช่วยยื่นใบสมัคร ติดตามผล ยื่นวีซ่า จัดหาที่พัก ดำเนินการให้ฟรี
✔ เป็นเจ้าของร่วมข้อสอบ IELTS อย่างเป็นทางการ และเป็นศูนย์สอบ IELTS ในประเทศไทย
✔ IDP คือศูนย์แนะแนวหนึ่งเดียวในไทยที่ได้รับการรับรองคุณภาพ AIRC ต่อเนื่องกัน 7 ปี
✔ IDP ส่งนักเรียนไปศึกษาต่อกว่า 500,000 คน ทั่วโลกและเปิดให้บริการมากกว่า 50 ปี มีมากกว่า 190 สาขา ใน 35 ประเทศทั่วโลก